สรุป 7 วันอันตราย ดับ 287 รายเซ่นสงกรานต์ เชียงรายแชมป์

สรุปสถิติ 7 วันอันตราย เทศกาลสงกรานต์ 67 คนไทยดับ 287 ราย เกิดอุบัติเหตุ 2,044 ครั้ง เชียงรายแชมป์ตายเยอะสุด 17 ราย
เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2567 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ได้แถลงสรุปสถิติอุบัติเหตุทางถนนสะสมช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ตลอด 7 วันของการรณรงค์ (11 – 17 เม.ย. 67) เกิดอุบัติเหตุรวม 2,044 ครั้ง ผู้บาดเจ็บรวม 2,060 คน ผู้เสียชีวิต รวม 287 ราย จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 7 จังหวัด ส่วนจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงราย (82 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ แพร่ (80 คน) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงราย (17 ราย)
ส่วนสถิติอุบัติเหตุทางถนนเฉพาะวันที่ 17 เมษายน 2567 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการรณรงค์ “ขับขี่อย่างปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ” เกิดอุบัติเหตุ 224 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 224 คน ผู้เสียชีวิต 28 ราย สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่
- ขับรถเร็ว ร้อยละ 45.98
- ตัดหน้ากระชั้นชิด ร้อยละ 18.75
- ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 12.50
สำหรับข้อมูลที่น่าสนใจ
- ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 81.82
- ส่วนใหญ่เกิดอุบัติเหตุบนเส้นทางตรง ร้อยละ 82.14 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 42.41 ถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 29.46
- ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เวลา 17.01 – 00 น. ร้อยละ 8.04
- ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 30-39 ปี ร้อยละ 17.06
- จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด เชียงราย ประจวบคีรีขันธ์ แพร่ (จังหวัดละ 11 ครั้ง)
- จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ แพร่ (12 คน)
- จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ กาญจนบุรี (3 ราย)
นายอนุทินกล่าวว่า จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2567 มีจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุและผู้บาดเจ็บลดลงจากปีที่ผ่านมา แต่จำนวนของผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเล็กน้อย ซึ่งสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางถนนยังคงเกิดจากการขับรถเร็ว ดื่มแล้วขับ และตัดหน้ากระชั้นชิด รวมถึงจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงสุด โดยพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดเกิดจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย
#7วันอันตราย #สงกรานต์ #อุบัติเหตุสงกรานต์ #อนุทินชาญวีรกุล #ข่าวจริง #Thefacts #facts #Thefactsnews