มูดี้ส์ หั่นมุมมองเครดิตไทยเชิงลบ ลางร้ายเศรษฐกิจหนักสุดรอบ 17 ปี

มูดี้ส์ ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ประเทศไทย เหลือเชิงลบ ส่งสัญญาณเตือนลางร้ายเศรษฐกิจไทย หนักสุดรอบ 17 ปี ท่ามกลางศึกนอกรุมเร้า และการคลัง ภาระหนี้ที่อ่อนแอ
นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 Moody’s ได้รายงานผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยได้คงอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating) ที่ระดับ Baa1 และปรับมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ที่ Negative Outlook หรือเชิงลบ จากเดิมมองแบบ Stable
การปรับมุมมองดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยความเสี่ยงภายนอก โดยเฉพาะความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากนโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการค้าและการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งในระดับโลก รวมถึงไทย ซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุมของรัฐบาลไทย
แม้จะยังไม่สามารถประเมินระยะเวลาและความรุนแรงได้อย่างชัดเจน แต่ความไม่แน่นอนดังกล่าวส่งผลกระทบต่อศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกที่มีการปรับลดอัตราการเจริญเติบโตในปี 2568 จาก 3.3% เป็น 2.8% (ที่มา: กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ณ เดือนเมษายน 2568) ทำให้ไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่ได้รับ Negative Outlook จากปัจจัยดังกล่าว แต่ยังมีประเทศอื่นที่ถูกปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศ (Outlook) เช่นกัน
กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ ถอดรหัส Moody’s เกี่ยวกับประเทศไทย
ระบุว่า มูดี้ส์ ถือเป็นสถาบันแรกจาก 3 Ratings Agencies ใหญ่ของโลก ที่เริ่มนำร่องปรับเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่มีนัยยะ เพราะการลด Negative Outlook อาจเป็นก้าวแรกที่นำไปสู่การลด Rating ลงได้ในอนาคต ถือเป็นการเตือนประเทศไทย และอาจเป็นการกระตุ้นให้อีก 2 สถาบันเครดิตใหญ่ที่เหลือ คือ S&P และ Fitch Ratings เริ่มกลับมาดูข้อมูลโดยละเอียดอีกรอบ ว่าจะปรับเปลี่ยนมุมมองของไทยตามหรือไม่
ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนมุมมอง หรือ Outlook ของไทย มูดีส์ ชี้แจงว่า มาจาก “risks that Thailand’s economic and fiscal strength will weaken further” ความเสี่ยงที่สถานการณ์เศรษฐกิจและสถานะภาคการคลังของไทย อาจจะอ่อนแอลงไปกว่านี้ ซึ่งมาจากนโยบาย Tariffs ของสหรัฐ ที่กำลังส่งผลกระทบต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการค้าของโลก ที่จะกระทบต่อมาที่ประเทศไทยซึ่งพึ่งพาต่างประเทศมาก
นอกจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนว่าหลังจากชะลอไป 90 วัน ว่าไทยจะโดนเก็บภาษีนำเข้าเท่าไร ทั้งหมดนี้จะซ้ำเติมปัญหาเดิมที่ไทยมีก่อนหน้าอยู่แล้ว คือการที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ไม่ดีเทียบกับคนอื่นๆ หลังจบปัญหาเรื่องโควิด และปัญหาการลดลงของศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ที่เราโตช้าลงเรื่อยๆ ที่มูดี้ส์กังวลใจก็คือ ไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐในการส่งออก และจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain ในการผลิตสินค้าของภูมิภาค หากเศรษฐกิจไทยโตช้าลงกว่านี้อีก จากความปั่นป่วนในเศรษฐกิจโลก จะส่งผลกระทบไปที่สถานะภาคการคลังที่อ่อนแออยู่แล้ว ตั้งแต่ช่วงโควิด ให้แย่ลงไปจากเดิม ดังนั้น จึงให้มุมมอง Negative กับไทย
แต่ที่น่าสนใจก็คือการปรับลดเป็น Negative ไม่จำเป็นต้องนำไปสู่การลด Rating เสมอไป เป็นการเตือนว่า “จับตามองแล้วนะ” “มีความเสี่ยง” เพราะในอดีต ช่วงวิกฤตการเงินโลก 2008 ก็เคยลด Outlook ของไทยเป็น Negative แต่เมื่อผ่านช่วงวิกฤตนั้นมาได้ 2 ปีให้หลังก็ปรับมาเป็น Stable อีกครั้ง
ดังนั้นในรอบนี้เช่นกัน มูดีส์ บอกว่า Outlook เปลี่ยนได้ถ้าไทยสามารถขยายตัวได้สูงกว่าที่เขาคาดไว้ในใจอย่างต่อเนื่อง ที่จะช่วยให้สถานะการคลังไทยดีขึ้น หมายความว่า ถ้าไทยขาดดุลการคลังได้น้อยลง และเป็นหนี้ภาครัฐต่อ GDP ลดลง จากเศรษฐกิจที่โตต่อเนื่องมีโอกาสจะกลับไปที่ Stable ได้ ขณะเดียวกัน มูดี้ส์ เตือนว่า Negative Outlook รอบนี้ อาจจะตามมาด้วยการลด Rating ในอนาคต ถ้าหาก
- เศรษฐกิจไทยอ่อนแอลงไปกว่านี้ ศักยภาพในการเติบโตลดต่ำไปกว่านี้ จากการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างในด้านต่างๆ รวมทั้งจาก ความปั่นป่วนในระบบเศรษฐกิจโลกจากนโยบายสหรัฐ
- ภาระหนี้ของภาครัฐไทยยังเพิ่มต่อเนื่องในช่วงต่อไป ทั้งจากปัญหาภายนอกและภายในที่จะเข้ามากระทบทำให้ไทยโตไม่ได้ หรือจากความตึงเครียดขัดแย้งทางการเมืองที่กระทบต่อความสามารถในการดำเนินนโยบายของไทยทั้งหมด
ดังนั้น นับเป็นการเตือน และแจ้งว่า Moody’s กังวลใจมองอะไรอยู่ และเขาอยากเห็นอะไร” หน้าที่ของไทยคือ เร่งแก้ไข ปรับปรุงตนเองซึ่งคงต้องทำ 3 เรื่อง
- ไม่ทำในสิ่งที่เขากังวลใจ
- เตรียมการให้เศรษฐกิจไทยผ่านมรสุมจาก President Trump ไปได้ พยายามลดผลกระทบที่เกิดขึ้น และ
- มุ่งสร้างอนาคตที่แท้จริง เพราะสิ่งที่มูดี้ส์อยากเห็นจริงๆ คือ ศักยภาพในการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 3-4% เป็นอย่างน้อย ซึ่งหมายความว่า ต้องเร่งเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ อย่างเป็นระบบ สร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่จะสร้างรายได้ที่แท้จริง เพิ่มศักยภาพการวิจัยของไทย แก้ไขกฏหมายที่ล้าสมัยที่เป็นโซ่ถ่วงประเทศ และที่สำคัญสุดคือ แก้ไขเรื่องการพัฒนาคนของไทย
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้รายงานบทวิเคราห์ สถานการณ์ Moody’s ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตไทยเป็น Negative ผลกระทบกับค่าเงิน และผลตอบแทนตราสารหนี้
- 29 เมษายน 2568 สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody’s Ratings ปรับลดมุมมองแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือสำหรับรัฐบาลไทยจาก “Stable” มาที่ “Negative” แม้ว่าจะยังคงอันดับความน่าเชื่อถือไว้ที่ระดับเดิม โดยอันดับเครดิตสำหรับ Issuer และ Local Currency Senior Unsecured Ratings ของรัฐบาลไทยยังคงอยู่ที่ระดับ Baa1 เช่นเดียวกับ Foreign Currency Commercial Paper Rating ที่ยังคงอยู่ที่ระดับ P-2
- Moody’s Ratings กล่าวถึงสาเหตุสำคัญของการปรับมุมมองต่อแนวโน้มอันดับเครดิตลงเป็น Negative รอบนี้ มาจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของเศรษฐกิจไทยซึ่งมีผลทำให้สถานะทางการคลังอ่อนแอลง โดยเฉพาะหลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของโลก และมีผลกระทบตามมายังเศรษฐกิจไทยอันเป็นเศรษฐกิจเปิด และมีการฟื้นตัวที่เปราะบางตั้งแต่หลังช่วงโควิด-19
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตในรอบนี้ ต่างจากการปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น Negative ในรอบก่อน ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม 2551 ในช่วงของวิกฤต Subprime อยู่ 2 จุด คือ
- เศรษฐกิจไทยในปี 2551-2552 ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจการเงินทั่วโลก ซึ่งหลังจากวิกฤต Subprime คลี่คลายลง (หรือประมาณ 22 เดือนหลังจากนั้น) Moody’s ก็ปรับแนวโน้มกลับมาที่ Stable ในเดือนตุลาคม 2553
- ระดับหนี้สาธารณะของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ โดยแม้ในช่วงนั้นรัฐบาลไทยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการการคลังซึ่งทำให้ยอดขาดดุลการคลังเพิ่มสูงขึ้น แต่ระดับหนี้สาธารณะของไทยก็ยังคงอยู่ภายใต้เพดานหนี้สาธารณะ โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะขยับขึ้นประมาณ 4.3% จาก 35.0% ของจีดีพี ณ กันยายน 2551 มาที่ 39.3% ของจีดีพี ณ ตุลาคม 2553
แต่ในรอบนี้ คงต้องมองย้อนกลับไปในเดือนเมษายน 2563 ที่แนวโน้มอันดับเครดิตของไทยเริ่มปรับลดลงจาก Positive มาที่ Stable ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นหลังช่วงโควิด-19 ก่อนที่จะตามมาด้วยรอบล่าสุด (28 เมษายน 2568) ที่มีการปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตลงต่อมาที่ Negative โดยเพิ่มเติมปัจจัยลบทางเศรษฐกิจจากการเปิดเกมปรับขึ้นภาษีนำเข้าของ ปธน.ทรัมป์ และความเสี่ยงทางการคลังของรัฐบาลไทย ทั้งนี้ ภาพจังหวะที่ไทยถูกจับตาเป็นพิเศษจนมีการทบทวนแนวโน้มของอันดับเครดิตลงต่อเนื่อง จาก Positive (ก.ค. 2562) เป็น Stable (เม.ย. 2563) จนมาเป็น Negative (เม.ย. 2568) ใช้ระยะเวลาเกือบ 6 ปี อันย้ำถึงปัญหาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ลากยาวขึ้นกว่าเดิม และมีเงื่อนไขซ้ำเติม คือ ตัวช่วยทางการคลังมีสัญญาณที่จำกัดมากขึ้นกว่ารอบก่อน จากสัดส่วนหนี้สาธารณะที่ขยับขึ้นแตะระดับ 64.2% ต่อจีดีพี ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2568
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มีความเป็นไปได้ที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถืออื่น ๆ อาจทบทวนแนวโน้มอันดับเครดิตของไทยตามมาด้วยเหตุผลที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่ในระหว่างนี้ไทยอาจยังมีเวลาราว 6 เดือน ถึง 1 ปี (ตามรอบของการปรับอันดับความน่าเชื่อถือในอดีต) เพื่อวางแนวทางรับมือผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ทั้งปัจจัยเฉพาะหน้าจากประเด็นการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และปัจจัยเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่มีอยู่เดิมของเศรษฐกิจไทย ทั้งหนี้ครัวเรือนสูง ขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจไทย และสถานะทางการคลัง
ตลาดการเงินไทยตอบรับข่าวการปรับมุมมองต่อแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือมาเป็น Negative ในรอบนี้ ค่อนข้างจำกัด เพราะปัจจัยอื่นมีผลมากกว่า อาทิ ทิศทางเงินดอลลาร์ฯ ที่โดนกระทบจากเรื่องสงครามการค้า และสัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ซึ่งสลับมาอยู่ในฝั่งไหลเข้าสุทธิรับมติการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยลง 0.25% มาที่ 1.75% ในการประชุม กนง. 30 เมษายน 2568 โดยเงินบาทอยู่ที่ 33.38-33.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ (ใกล้เคียงระดับปิดที่ 33.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ของวันทำการก่อนหน้า) ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้น 2.23% มาที่ 1,197.26 จุด ขณะที่ ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลไทย อายุ 10 ปี ทรงตัวที่ 1.88-1.89%
อย่างไรก็ตาม หากมีสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออื่นๆ ปรับทบทวนมุมมองที่มีต่อแนวโน้ม (หรือปรับอันดับเครดิต) ตามมาในอนาคตอันใกล้ ผลกระทบอาจทยอยชัดเจนขึ้น เพราะประเด็นนี้อาจนับเป็นหนึ่งในสัญญาณที่ย้ำกว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีความเปราะบางลงมาก โดยทิศทางผลกระทบที่เป็นไปได้คือ
- ปัจจัยนี้ตามลำพังอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงตามความเสี่ยงของเงินทุนไหลออก แต่ประสบการณ์จากการปรับมุมมองหรือทบทวนอันดับเครดิตรอบก่อนๆ สะท้อนว่า ยังคงมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อทิศทางเงินบาทมากกว่า โดยเฉพาะทิศทางเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยนโยบาย และสถานการณ์ของค่าเงินดอลลาร์ฯ (รูปที่ 1) ดังนั้น คาดว่า เงินบาทในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้าจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบค่อนข้างกว้างในช่วงประมาณ 33.00-34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในระหว่างที่ตลาดรอประเมินภาพที่ชัดเจนของสถานการณ์สงครามการค้า รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและดอกเบี้ยของไทย
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อาจไม่ได้รับอานิสงส์ของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างเต็มที่ แม้ กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 30 เมษายน 2568 และมีโอกาสลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกในระยะที่เหลือของปี ก็ตาม
- Credit Spread สำหรับหุ้นกู้เอกชน มีโอกาสแพงขึ้น ดังที่ปรากฏขึ้นแล้วในกลุ่มอันดับ BBB (รูปที่ 2) ท่ามกลางภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยและนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย อยู่ใน
ขอบคุณภาพ เฟซบุ๊ค กอบศักดิ์ ภูตระกูล
#ศูนย์วิจัยกสิกรไทย #Moody’s #มูดี้ส์ #มูดี้ส์กระทบอย่างไร #ลดเครดิตไทย #วิกฤตเศรษฐกิจ #ข่าวจริง #thefacts #facts #fact