รัฐบาลลงตู่ ถลุงเงิน ม.28 แทบเกลี้ยงคลัง เหลือใช้ 1.8 หมื่นล. อาคม โบ้ยโควิด
รัฐบาลถลุงเงิน ม.28 แทบเกลี้ยงคลัง เหลือให้รัฐบาลใหม่ใช้ได้ 1.8 หมื่นล้าน ด้าน รมว.คลัง อ้างโควิด จึงจำเป็นต้องหาเงินใช้ช่วยชาวบ้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงการคลังได้ประเมินความสามารถในการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลทั้งในส่วนของการใช้จ่ายตามมาตรา 28 ตามกรอบพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และ เพดานการก่อหนี้สาธารณะพบว่า รัฐบาลเหลือพื้นที่การใช้จ่ายค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะการใช้จ่ายตามมาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ขณะนี้ถือว่า ใกล้เต็มเพดานที่ 32% ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย ดังนั้นจึงเป็นข้อจำกัดของรัฐบาลใหม่ที่จะดำเนินมาตรการใดต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ ณ สิ้นปีงบประมาณ 65 ภาระผูกพันจากการใช้จ่ายเงินตามมาตรา 28 ของรัฐบาลอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 33.5% ของงบประมาณรายจ่าย และ ณ สิ้นเดือนมิ.ย.66 เหลือวงเงินก่อหนี้ตามกรอบมาตรา 28 อยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท และมีความกังวลว่าในปีงบประมาณ 67 หากมีการพิจารณาปรับลดกรอบวงเงินมาตรา 28 จาก 32% เป็น 30% ตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง อาจทำให้รัฐบาลใหม่เหลือวงเงินใช้จ่ายลดลงอีก
“การดำเนินโครงการตามมาตรา 28 อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทางการคลังในอนาคตและสร้างภาระให้กับหน่วยงานของรัฐ เนื่องจากหน่วยงานจากรัฐ โดยเฉพาะสถาบันการเงินของรัฐ จะต้องสำรองจ่ายเงินตนเองไปก่อน ดังนั้น รัฐบาลจึงควรดำเนินโครงการตามมาตรา 28 เท่าที่จำเป็น และจัดลำดับความสำคัญโครงการ โดยโครงการใดที่ดำเนินการเป็นประจำทุกปีและวางแผนล่วงหน้าได้ เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลมักนำการใช้เงินตาม ม.28 เป็นช่องทางการใช้เงินในหาเสียง หรือ ดูแลเศรษฐกิจระดับรากหญ้า โดยให้แบงก์รัฐเป็นเครื่องมือในการสำรองจ่ายเงินไปก่อน เช่น โครงการประกันรายได้ โครงการจำนำสินค้าเกษตร ซึ่งถือเป็นการใช้เงินนอกงบประมาณ และเป็นภาระที่รัฐบาลต้องจ่ายเงินให้กับแบงก์รัฐในอนาคต”
ส่วนเพดานการก่อหนี้สาธารณะ ปัจจุบัน สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ณ พ.ค.66 อยู่ที่ 61.63% ยังคงมีพื้นที่ทางการคลังคงเหลือจากเพดานที่กำหนดไว้ไม่เกิน 70% ของจีดีพี หรือราว 1.5 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ดี ความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งพิจารณาจากสัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อประมาณการรายได้ที่ไม่ควรเกิน 10.09% ในปัจจุบันสัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่ปะมาณ 8.5% ทำให้เหลือพื้นที่อีกประมาณ 1.5% เท่านั้น ดังนั้น การพิจารณาดำเนินนโยบายที่จะสร้างภาระการคลัง ภายใต้สถานการณ์ที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และ การชำระคืนต้นเงินกู้ในอัตราที่ต่ำ จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
สำหรับฐานะการคลังของรัฐบาลนั้น ในปีงบประมาณ 67 ครม.เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่ 3.35 ล้านล้านบาท ประมาณการรายได้รัฐบาลที่ 2.75 ล้านล้านบาท และกรอบการขาดดุลงบประมาณที่ 5.93 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 3.0% ต่อจีดีพี โดยกรอบการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณสูงสุดตามกฎหมายอยู่ที่ 20% ของกรอบวงเงินงบประมาณ บวกกับ 80% ของรายจ่ายชำระต้นเงินกู้ โดยปีงบประมาณ 67 อยู่ที่ 7.63 แสนล้านบาท ดังนั้น จึงคงเหลือวงเงินกู้เพื่อชดเชยขาดดุลอยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท ซึ่งหากปรับเพิ่มการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลจะทำให้สัดส่วนเกินกว่า 3% ต่อจีดีพีที่กำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางในปีงบประมาณ 67 – 70
ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า สาเหตุที่วงเงินเหลือน้อย มาจากการเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด จึงมีความจำเป็นในการใช้จ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจ โดยให้ ธนาคารรัฐเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือ ทำให้วงเงินมาตรา 28 ลดลง แต่ที่ผ่านมาคลังมีนโยบายให้เร่งรัดปิดโครงการที่ดำเนินการโดยใช้มาตรา 28และชำระคืนเงินโดยเร็ว เพื่อให้มีกรอบวงเงินใช้จ่ายตามม.28 เพิ่ม นอกจากนี้ คลังได้ขอให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบชำระคืนเงิน ม.28 ประมาณ 3.5-4% ต่อปี ของวงเงินในโครงการ

