26 ตุลาคม 2025
Home » ข่าวเด่น » รัฐบาลลงตู่ ถลุงเงิน ม.28 แทบเกลี้ยงคลัง เหลือใช้ 1.8 หมื่นล. อาคม โบ้ยโควิด

รัฐบาลลงตู่ ถลุงเงิน ม.28 แทบเกลี้ยงคลัง เหลือใช้ 1.8 หมื่นล. อาคม โบ้ยโควิด

SHARE THIS

รัฐบาลถลุงเงิน ม.28 แทบเกลี้ยงคลัง เหลือให้รัฐบาลใหม่ใช้ได้ 1.8 หมื่นล้าน  ด้าน รมว.คลัง อ้างโควิด จึงจำเป็นต้องหาเงินใช้ช่วยชาวบ้าน

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงการคลังได้ประเมินความสามารถในการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลทั้งในส่วนของการใช้จ่ายตามมาตรา 28 ตามกรอบพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และ เพดานการก่อหนี้สาธารณะพบว่า รัฐบาลเหลือพื้นที่การใช้จ่ายค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะการใช้จ่ายตามมาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ขณะนี้ถือว่า ใกล้เต็มเพดานที่ 32% ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย ดังนั้นจึงเป็นข้อจำกัดของรัฐบาลใหม่ที่จะดำเนินมาตรการใดต่อไปในอนาคต

 

ทั้งนี้ ณ สิ้นปีงบประมาณ 65 ภาระผูกพันจากการใช้จ่ายเงินตามมาตรา 28 ของรัฐบาลอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 33.5% ของงบประมาณรายจ่าย และ ณ สิ้นเดือนมิ.ย.66 เหลือวงเงินก่อหนี้ตามกรอบมาตรา 28 อยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท และมีความกังวลว่าในปีงบประมาณ 67 หากมีการพิจารณาปรับลดกรอบวงเงินมาตรา 28 จาก 32% เป็น 30% ตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง อาจทำให้รัฐบาลใหม่เหลือวงเงินใช้จ่ายลดลงอีก

 

“การดำเนินโครงการตามมาตรา 28 อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทางการคลังในอนาคตและสร้างภาระให้กับหน่วยงานของรัฐ เนื่องจากหน่วยงานจากรัฐ โดยเฉพาะสถาบันการเงินของรัฐ จะต้องสำรองจ่ายเงินตนเองไปก่อน ดังนั้น รัฐบาลจึงควรดำเนินโครงการตามมาตรา 28 เท่าที่จำเป็น และจัดลำดับความสำคัญโครงการ โดยโครงการใดที่ดำเนินการเป็นประจำทุกปีและวางแผนล่วงหน้าได้  เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลมักนำการใช้เงินตาม ม.28 เป็นช่องทางการใช้เงินในหาเสียง หรือ ดูแลเศรษฐกิจระดับรากหญ้า โดยให้แบงก์รัฐเป็นเครื่องมือในการสำรองจ่ายเงินไปก่อน เช่น โครงการประกันรายได้ โครงการจำนำสินค้าเกษตร ซึ่งถือเป็นการใช้เงินนอกงบประมาณ และเป็นภาระที่รัฐบาลต้องจ่ายเงินให้กับแบงก์รัฐในอนาคต”

 

ส่วนเพดานการก่อหนี้สาธารณะ ปัจจุบัน สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ณ พ.ค.66 อยู่ที่ 61.63% ยังคงมีพื้นที่ทางการคลังคงเหลือจากเพดานที่กำหนดไว้ไม่เกิน 70% ของจีดีพี หรือราว 1.5 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ดี ความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งพิจารณาจากสัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อประมาณการรายได้ที่ไม่ควรเกิน 10.09% ในปัจจุบันสัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่ปะมาณ 8.5% ทำให้เหลือพื้นที่อีกประมาณ 1.5% เท่านั้น ดังนั้น การพิจารณาดำเนินนโยบายที่จะสร้างภาระการคลัง ภายใต้สถานการณ์ที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และ การชำระคืนต้นเงินกู้ในอัตราที่ต่ำ จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

 

สำหรับฐานะการคลังของรัฐบาลนั้น ในปีงบประมาณ 67 ครม.เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่ 3.35 ล้านล้านบาท ประมาณการรายได้รัฐบาลที่ 2.75 ล้านล้านบาท และกรอบการขาดดุลงบประมาณที่ 5.93 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 3.0% ต่อจีดีพี โดยกรอบการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณสูงสุดตามกฎหมายอยู่ที่ 20% ของกรอบวงเงินงบประมาณ บวกกับ 80% ของรายจ่ายชำระต้นเงินกู้ โดยปีงบประมาณ 67 อยู่ที่ 7.63 แสนล้านบาท ดังนั้น จึงคงเหลือวงเงินกู้เพื่อชดเชยขาดดุลอยู่ที่  1.7 แสนล้านบาท ซึ่งหากปรับเพิ่มการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลจะทำให้สัดส่วนเกินกว่า 3% ต่อจีดีพีที่กำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางในปีงบประมาณ 67 – 70

 

ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ  รมว.คลัง กล่าวว่า สาเหตุที่วงเงินเหลือน้อย มาจากการเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด จึงมีความจำเป็นในการใช้จ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจ โดยให้ ธนาคารรัฐเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือ ทำให้วงเงินมาตรา 28 ลดลง แต่ที่ผ่านมาคลังมีนโยบายให้เร่งรัดปิดโครงการที่ดำเนินการโดยใช้มาตรา 28และชำระคืนเงินโดยเร็ว เพื่อให้มีกรอบวงเงินใช้จ่ายตามม.28 เพิ่ม  นอกจากนี้ คลังได้ขอให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบชำระคืนเงิน ม.28 ประมาณ 3.5-4% ต่อปี ของวงเงินในโครงการ